เที่ยวธรรมชาติ ท่องประวัติศาสตร์ในที่เดียวกัน
ทางหลวงหมายเลข 12 (พิษณุโลก-หล่มสัก) นี้ไม่ได้พาคุณๆ ท่องธรรมชาติเพียงล่องแก่งน้ำเข็ก หรือไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง และเขาค้อเท่านั้น แต่ ณ กม.ที่ 69 หรือสามแยกบ้านแยง มีอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าเป็นอีกจุดหมายน่าเที่ยวบนภูที่มีทั้งที่เที่ยวทางธรรมชาติและประวัติศาสตร์กับอากาศที่เย็นสบายตลอดปี
Location อ.นครไทย จ.พิษณุโลก
จากตัวเมืองพิษณุโลก ใช้ทางหลวงหมายเลข 12 (พิษณุโลก-หล่มสัก) เมื่อถึงกม.ที่ 69 ถึงสามแยกบ้านแยง เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 2013 ไปอ.นครไท ขับไปประมาณ 29 กม. ถึงทางแยกบ้านหนองกะท้าว เลี้ยวขวาไปประมาณ 5 กม.เข้าทางหลวงหมายเลข 2331 เป็นทางขึ้นเขาอีกประมาณ 25 กม. ถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว รวมระยะทางจากตัวเมืองพิษณุโลก 127 กม.
แม้จะมีถนนข้ึนเขาแต่ก็ต้องใช้ความสามารถในการขับรถพอสมควร ชาวกรุงหลายคนจึงนิยมใช้บริการรถเหมาจากรังทองทัวร์พาขึ้นไปเที่ยวนับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ปลอดภัย กว่าจะขึ้นเขา 25 กม.มาถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวก็จะใช้เวลาเกือบครึ่งวันได้เวลาอาหารเที่ยงพอดี
ก่อนเริ่มเที่ยวจึงควรเติมพลังกับร้านอาหารที่มีให้บริการกันก่อน ร้านอาหารเก่าแก่ที่อยู่คู่กับภูหินร่องกล้ามานานหลายสิบปีชื่อร้านอาหารดวงใจ ต้นตำรับส้มตำแครอทที่โด่งดังในอดีตจนถึงปัจจุบัน อยู่ใกล้กับศูนย์บริการนักท่องเที่ยวและลานกางเต็นท์ ใครที่มาแค้มปิ้งจึงสะดวกเรื่องอาหารการกินมาก
หลังอิ่มหนำสำราญ ไปติดต่อรับกุญแจบ้านพักหากคุณจองที่พักมาก่อนแล้ว หรือไปลานกางเต็นท์ที่อยู่ไม่ไกลจากร้านอาหาร ใครที่ไม่ได้พักบนภูหินร่องกล้า แต่อยากได้ความสะดวกสบายแบบรีสอร์ทแนะนำไปพักที่อ.นครไทย แถมยังได้เที่ยวเพิ่มในอำเภอเก่าแก่แห่งพิษณุโลกได้อีกด้วย
พิพิธภัณฑ์การสู้รบ อยู่ใกล้ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเข้าไปหาความรู้ที่มาที่ไปของอุทยานฯภูหินร่องกล้า ตั้งแต่สมัยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยยึดครองเป็นฐานที่มั่น ภายในมีอาวุธ เครื่องมือแพทย์ ของใช้ต่างๆ ที่เล่าประวัติของดินแดนนี้ และนี่เองจึงเป็นที่มาของแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์จุดแรก
การท่องเที่ยวจุดต่างๆ บนภูหินร่องกล้าหลังจากนี้ต้องขับรถไปทั้งหมด เพราะแต่ละจุดค่อนข้างไกลจากกัน จอดรถแล้วเดินไปเที่ยวใกล้บ้างไกลบ้าง ที่แรกเลยคือลานหินแตก
ลานหินแตก อยู่ไม่ไกลจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ไปชมลานหินที่ว่ากันว่าเมื่อนับล้านปีก่อนเป็นแผ่นหินเรียบๆ แต่แล้วเปลือกโลกเคลื่อนตัวทำให้หินฉีกขาดเป็นร่องกว้าง ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ดูแล้วแปลกตา สมัยคอมมิวนิสต์ยึดครองภูนี้ประมาณปีพ.ศ.2515 ลานหินแตกเคยเป็นสนามรบของรัฐบาลไทยกับผกค.เกิดการสูญเสียอย่างหนักจนแทบจะเปลี่ยนชื่อเป็นลานหินเลือด
รอยอดีตนั้นหายไปกับม่านหมอกแล้ว วันนี้เหลือวิวสวยๆ หากมาในหน้าฝน จะได้พบดอกไม้สวยๆ หยอกกับสายหมอกประดับลานหินอย่างสวยงาม ถ้ามาหน้าหนาวอากาศแจ่มใสมองวิวได้ไกลสุดสายตา
ลานหินปุ่ม ที่เที่ยวสร้างชื่อให้ภูหินร่องกล้า ในขณะที่ลานแตกนั้นหินขาดจากกัน แต่ลานหินปุ่มด้วยปรากฎการณ์เปลือกโลกเคลื่อนตัวเดียวกันแต่ดันแผ่นหินที่เรียบๆ ให้ยกตัวขึ้นเป็นตะปุ่มตะป่ำ นับเป็นปรากฎการณ์มหัศจรรย์แห่งเดียวของประเทศไทย ถือเป็นที่เที่ยวอัศจรรย์
ลานหินปุ่มอยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวไปทางอ.หล่มสักประมาณ 2 กม. ควรจะไปช่วงบ่าย เพื่อจะรอชมพระอาทิตย์ตก จากลานจอดรถจะเดินผ่านผาชูธง ตรงนี้ก็วิวสวย ยามอาทิตย์อัสดงก็งามแท้ ในอดีตเวลาคอมมิวนิสต์เขารบชนะจะมาชูธงที่ผานี้ เลยเป็นที่มาของผาชูธง
ถ้ามาเดินเที่ยวหน้าฝนได้เห็นหมอกขาวไหลอบอวล ดอกลิ้นมังกรสีส้ม เปราะภูสีขาวออกดอกอย่างสวยงาม อากาศก็เย็นชุ่มชื้น ถ้ามาหน้าหนาว อากาศปลอดโปร่งมองวิวไกลสุดปลายฟ้ากันเลยทีเดียว
จากผาชูธงเดินไปอีก 500 ม.ถึงลานหินปุ่ม ถือเป็นไฮไลท์ของการเที่ยวภูหินร่องกล้าเลยก็ว่าได้ มีมุมถ่ายรูปลานหินตะปุ่มตะป่ำที่อยู่ริมหน้าผาจึงชมวิวได้สวยงาม อย่างไรก็ดีหากรอชมพระอาทิตย์ตกไม่ว่าจะที่ลานหินปุ่มหรือผาชูธง ควรนำไฟฉายติดตัวมาด้วย
หลังจากนั้นเดินทางกลับที่พักใครพักบ้าน พักเต็นท์ตามอัธยาศัย ใช้บริการร้านอาหารเหมือนมื้อกลางวันก่อนพักผ่อนสบายๆ
รุ่งขึ้นวันนี้มีที่เที่ยวทางธรรมชาติที่น่าสนใจอีกแห่งคือน้ำตกร่มเกล้าภราดร ก่อนจะไปท่องประวัติศาสตร์กันต่อ
น้ำตกร่มเกล้า-ภราดร ขับรถไปทางอ.หล่มสัก ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ4 กม. จอดรถแล้วเดินลงข้างทางไป 400 ม.แม้ไม่ไกลแต่ทางทิ้งดิ่ง ความสวยของน้ำตกคุ้มค่าที่จะลงทุนเดินลงไปชม น้ำตกมีสองช่วง ด้านบนสายน้ำทิ้งตัวใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ที่แสงแทบส่องลงมาไม่ได้ รอบน้กตกเขียวชะอุ่มไปด้วยมอสเฟิร์น ส่วนช่วงล่างยังมีอีกชั้นที่สวยงามไม่แพ้กัน
ที่เที่ยวทางประวัติศาสตร์ เป็นที่รู้กันดีว่าในอดีตพื้นที่บริเวณอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้านั้นได้เคยเป็นฐานที่มั่นของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย แต่หลังจากเหตุการณ์การสู้รบสงบลง สถานที่เหล่านั้นก็ได้ถูกจัดตั้งให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางด้านประวัติศาสตร์ของอุทยานฯไปด้วย มาเที่ยวภูหินร่องกล้าจึงได้ชมทั้งธรรมชาติ และประวัติศาสตร์ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งนอกจากลานหินและน้ำตกต่างๆ แล้วก็ยังมีถ้ำให้เที่ยวชมกัน ซึ่งเป็นถ้ำที่มีความพิเศษกว่าถ้ำอื่นๆ ในประเทศไทย
ถ้ำหลบภัยทางอากาศ สำหรับถ้ำของภูหินร่องกล้าจะมีความพิเศษกว่าถ้ำอื่นๆ ก็คือ เป็นถ้ำหลบภัยทางอากาศ เพียงได้ยินชื่อก็คงจะรู้กันดีว่าในอดีตถ้ำแห่งนี้เคยใช้ทำอะไรมาก่อน ถ้ำแห่งนี้ตั้งอยู่บนเส้นทางลานหินปุ่ม-ลานหินแตก ในอดีตเหล่าพี่น้องพรรคคอมมิวนิสต์ได้ใช้ถ้ำนี้ในการหลบภัยจากการทิ้งระเบิดทางอากาศจากเครื่องบินของทหารฝ่ายรัฐบาล และเป็นสถานที่ฝึกฝนเหล่ายุวชนของพรรคคอมมิวนิสต์
เมื่อได้ยินเสียงเครื่องบินของรัฐบาลเข้ามาก็จะทำการเป่านกหวีดเตือนให้รีบเก็บสัมภาระ และเข้ามาหลบภัยกันภายในถ้ำ ปัจจุบันหลงเหลือเป็นเพิงถ้ำที่มีลักษณะคล้ายกับซอกหินทอดยาวประมาณ 10 ม. และมีทางเดินสลับซับซ้อน ซึ่งบางเส้นทางยังเป็นทางเชื่อมต่อไปยังผาชูธงด้วย
โรงเรียนการเมือง การทหาร ใช้เป็นที่อบรมเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ อยู่ภายใต้ป่าใหญ่ ซ่อนตัวอย่างดี สมัยก่อนฝ่ายสื่อสาร โรงพิมพ์ โรงพยาบาลก็อยู่ที่นี่ และยังมีแทรกเตอร์ 1 คัน ที่ผกค.ยึดจากบริษัทพิฆเนศ สมัยมาสร้างถนนสายนครไทย-ด่านซ้าย น่าทึ่งว่าขับขึ้นมาไว้บนยอดภูนี้ได้อย่างไร?
กังหันน้ำ เป็นผลงานของอดีตเด็กวิศวะ จุฬาฯ ที่หนีมาร่วมทีมยุคนั้น ออกแบบให้แรงน้ำมายกกระเดื่องตำข้าว ถ้ามาดูในหน้าฝนจะเห็นน้ำตกไหลแรงอยู่ข้างครก
จบทริปช่วงบ่ายแก่ๆ ไปกันต่อเลย มุ่งหน้าไปตามทางหลวงหมายเลข 2331 ไปทางอ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ มีทางลงจากภูหินร่องกล้าผ่านอ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ เที่ยวต่อเนื่องไปยังภูทับเบิกได้ง่ายๆ หรือใครจะเดินทางกลับพิษณุโลกเส้นทางเก่าก็ตามอัธยาศัย
อ.นครไทยซึ่งเป็นประตูสู่ภูหินร่องกล้า ยังมีที่พักใหม่ๆ ให้บริการหลายแห่ง จากอำเภอทางผ่านกลายเป็นอำเภอน่าเที่ยวในปัจจุบัน มีที่เที่ยวที่ได้รับความนิยมคือบ้านนครชุม งานปักธงชัยที่เขาช้างล้วง ไหว้พ่อขุนบางกลางท้าว บ่อเกลือสินเธาว์ที่บ้านพ่อโพธิ์ หรือใครที่อยากไปเที่ยวภูลมโลที่อยู่ไม่ไกลจากภูหินร่องกล้าก็เลือกลงมาพักที่อ.นครไทยได้เช่นกัน
ภูหินร่องกล้า-ภูทับเบิก
จากภูหินร่องกล้าสามารถมุ่งหน้าแวะภูทับเบิกได้โดยง่าย ด้วยการใช้เส้นทางลงจากภูหินร่องกล้าของฝั่งจ.เพชรบูรณ์ โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 2011 และ 2331 ไปเรื่อยๆ ประมาณ 40 กม. จะมีแยกเลี้ยวขวาเข้าหมู่บ้านทับเบิก ตรงไปอีกประมาณ 6 กม. ก็จะถึงภูทับเบิก ซึ่งเป็นยอดเขาสูงสุดของจ.เพชรบูรณ์
มีจุดเด่นอยู่ที่ไร่กะหล่ำปลีกว่าแสนไร่ จนหลายคนตั้งชื่อว่าเป็น ‘ภูเขากะหล่ำปลีโลก’ แนะนำให้ไปช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม และตุลาคม-พฤศจิกายน ที่กะหล่ำปลีกำลังเบ่งบานเต็มที่ ใครอยากพักเอาแรงก็มีบ้านพักและจุดกางเต็นท์บริเวณบนยอดดอยภูทับเบิกและหมู่บ้านทับเบิกคอยให้บริการ
ภูหินร่องกล้า-ภูลมโล
ภูลมโล คือส่วนหนึ่งของภูหินร่องกล้า จุดเด่นจะอยู่ที่ช่วงปลายปีไปจนถึงต้นปีที่ดอกพญาเสือโคร่ง หรือซากุระเมืองไทยสีชมพูออกดอกสะพรั่ง นับเป็นป่าซากุระที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย หลายคนเฝ้ารอนับปีเพื่อจะได้ไปชมป่าซากะระแห่งนี้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ!!